สร้างผลตอบแทนสูงขึ้นถึง 67% จากการร่วมงานระหว่างทีมอินเฮาส์และเอเจนซี่การตลาดออนไลน์

บทนำ

หากคุณมีทีมการตลาดอินเฮาส์อยู่แล้ว คงรู้ดีว่าการสร้างทีมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เจ้าของธุรกิจหลาย ๆ ท่านก็ยังเลือกที่จะปั้นทีมการตลาดของตัวเองขึ้นมา ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:

  • ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการจ้างเอเจนซี่
  • มีระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการ
  • เข้าใจแบรนด์ได้ดีท่ีสุด

คุณอาจคิดว่าการหาคนเก่งมาทำงาน คือ สิ่งที่ยากที่สุดในการเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่ความจริงสิ่งที่ยากยิ่งกว่า คือ การตัดสินใจเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจ ในขณะที่ตอนนี้ ธุรกิจมันก็ไปได้ดีอยู่แล้ว 

ทำไมการตัดสินใจเพิ่มผลลัพธ์ทางธุรกิจเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ประกอบการหลาย ๆ คน?

เพราะเมื่อไรก็ตามที่ทีมของคุณประสบความสำเร็จในการสร้างผลลัพธ์ สถานการณ์นี้จะทำให้คุณอยู่ในจุดที่สบายใจจนทำให้หลงลืมความตั้งใจก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจ และไม่ตระหนักถึงการสร้างรายได้ที่มากขึ้นเพื่อทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่แรก แม้ว่าทีมจะทำผลลัพธ์ได้ดีแค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าไม่เคยมีข้อมูลทางด้านยอดขายมาเปรียบเทียบก็เป็นเรื่องยากที่คุณจะรู้ได้ว่าธุรกิจสามารถเติบโตได้มากกว่านี้หรือไม่

แต่เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้งเจ้าของธุรกิจเองก็มีคำถาม หรือข้อติติงบางอย่างเกี่ยวกับการทำงานของทีมอินเฮาส์อยู่ในใจ แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่ต้องการรักษาน้ำใจไม่ให้คนในทีมรู้สึกตึงเครียด คุณเลยเลือกที่จะไม่พูดสิ่งเหล่านั้นออกไป จนในวันที่คุณตัดสินใจที่จะพูด เพราะผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ส่งผลให้คนในทีมเกิดความตึงเครียด ไม่มีความสุขกับการทำงาน จนตัดสินใจลาออกด้วยเหตุผลที่คุณไม่เห็นคุณค่าของงานที่พวกเขาทำ

ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการณ์ในข้างต้นจะเกิดขึ้นกับธุรกิจหลายเจ้า และเจ้าของส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะเพิกเฉย เพราะไม่รู้วิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสม ส่งผลให้ธุรกิจไม่สามารถประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้

มาถึงตรงนี้คุณอาจจะคิดว่าเรากำลังจะบอกให้คุณเลิกจ้างทีมอินเฮาส์ และหันมาจ้างเราแทน ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเรากลับมองว่าการทำงานร่วมกันระหว่างทีมอินเฮาส์ และเอเจนซี่จะช่วยทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้มากกว่าการที่จะต้องมาตัดสินใจว่าควรจะจ้างใครมากกว่ากัน

และในวันนี้เราจะมานำเสนอเรื่องราวความสำเร็จของ FTE หรือหลักสูตรเพื่อพัฒนาเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่  ที่สามารถเพิ่มผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) ในแคมเปญการตลาดออนไลน์ภายใน 4 สัปดาห์ โดยเกิดจากความร่วมมือระหว่างทีมอินเฮาส์ และเอเจนซี่ที่ทำงานร่วมกัน

รายได้ที่เพิ่มขึ้นกำลังบ่งบอกว่าแบรนด์มีศักยภาพ และประสิทธิภาพที่มากกว่าแต่ก่อน แม้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจ้างเราทุกเดือน แต่เมื่อหักลบกลบหนี้แล้วก็พบว่าบริษัทอยู่ในจุดที่ไม่ขาดทุน และนั่นก็สนับสนุนให้ทีมอินเฮาส์มีเวลาไปวางแผนการตลาดออนไลน์ในอนาคตได้อีกด้วย

หลักการตัดสินใจทางธุรกิจ ที่สรุปออกมาได้จากแคมเปญ:

การมีเอเจนซี่ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการตลาดบน Facebook มาช่วยเราวางแผนกลยุทธ์เพื่อสร้างยอดขายที่มากขึ้น จะช่วยเพิ่มเวลาให้เราสามารถไปโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าเราจะลองทำด้วยตัวเองแล้วในตอนแรกมาสักพักแล้ว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ

คุณวีรานันท์ พิพัฒวงศ์เกษม

ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร FTE

หัวข้อที่ 1

ทำไม FTE ถึงเลือกจ้างเอเจนซี่การตลาดออนไลน์ทั้ง ๆ ที่มีทีมอินเฮาส์อยู่แล้ว?

FTE หรือ Fast Track Entrepreneur เป็นผู้จัดทำหลักสูตรประเภท Business learning ที่สนับสนุนให้เจ้าของธุรกิจ SMEs ทายาทธุรกิจ และผู้บริหารได้เรียนรู้เคล็ดลับจากเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ แถมยังสนับสนุนให้มีคอนเนคชั่นในคลาสนั้น ๆ อีกด้วย

จากสถิติที่มาจากธนาคารในประเทศไทยพบว่า ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมกว่า 50% ปิดตัวลงตั้งแต่ 5 ปีแรกที่เริ่มกิจการ ทำให้เราอาจจะสันนิษฐานได้ว่า เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ตัดสินใจทางธุรกิจผิดพลาด 

การเป็นเจ้าของธุรกิจที่จะสามารถสร้างธุรกิจที่เติบโต และมั่นคงขึ้นได้นั้นจะต้องไม่หยุดที่จะเรียนรู้ และพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และนี่คือจุดเด่นของ FTE ที่จะช่วยสร้างคุณค่า และพัฒนาหลักสูตรในการเรียนรู้ผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง 

เช่นเดียวกับการสร้างผลลัพธ์ของทีมอินเฮาส์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนจากค่าโฆษณาสูงถึง 16 เท่า หรือสรุปง่าย ๆ ว่าเงินลงทุนทุก ๆ 1 แสนบาทสามารถสร้างรายได้สูงถึง 1.6 ล้านบาทเลยทีเดียว

ผลลัพธ์ที่ได้มานี้ช่วยให้ FTE แน่ใจว่าบริการขององค์กรสามารถสร้างยอดขายได้อย่างยอดเยี่ยมผ่าน Facebook และตัวบริษัทเองก็มีความพร้อมที่จะผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมไปถึงตลาดที่มีความต้องการอย่างชัดเจนบน Facebook

แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน?

คำตอบ คือ ศักยภาพของธุรกิจ 

FTE เป็นตัวอย่างของพาร์ทเนอร์ของเราที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการทำธุรกิจ ถึงแม้ว่า FTE จะประสบความสำเร็จในการสร้างรายได้จากทีมอินเฮาส์ของตัวเอง แต่เจ้าของธุรกิจไม่มีทางทราบถึงโอกาส หรือศักยภาพของผลลัพธ์ที่ธุรกิจทำได้ ด้วยการลงทุนแบบเดิม 

และถึงแม้ว่าทีมอินเฮาส์ของแบรนด์จะสร้างผลลัพธ์ได้ดี แต่เราก็สามารถวิเคราะห์จุดด้อยออกมาได้ดังต่อไปนี้:

  • การทำงานของอินเฮ้าส์ทีมด้วยจุดประสงค์ในตัวมันเอง เป็นการจำกัดประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญให้อยู่ในอุตสาหกรรม หรือตลาดที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์เท่านั้น จึงอาจจะขาดมุมมองภาพกว้าง หรือความเข้าใจของตลาดในภาพรวมเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ๆ 
  • ทีมงานของคุณจะเก่งที่สุดได้เท่าที่หัวหน้าทีมมีประสบการณ์ และความสามารถ ซึ่งนั่นทำให้คุณต้องหวังพึ่งในตัวบุคคลที่จะนำเอาความรู้ และความสามารถในการทำธุรกิจ และการตลาดทั้งหมดที่มีมานำพาทีมงานการตลาดของคุณให้ยิ่งได้ผลลัพธ์ทางการตลาดมากขึ้น 
  • และถ้าคุณในฐานะเจ้าของธุรกิจไม่มีหัวหน้าฝ่ายการตลาด แปลว่าคุณต้องเสียสละเวลาส่วนมากไปกับทำงานในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน จนทำให้คุณไม่มีเวลาไปคิดค้น วางแผน หรือกำหนดทิศทางบริษัท หรือลงมือทำในเรื่องที่สำคัญกว่า

ดังนั้นเพื่อให้ FTE สามารถยกระดับแคมเปญการตลาดให้มีประสิทธิภาพ และสามารถสร้างรายได้ที่มากขึ้น แบรนด์จึงต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์เข้ามารับผิดชอบงานในส่วนนี้โดยที่จะไม่ทำให้สูญเสียรายได้ หรือขาดทุนมากกว่าตอนที่มีแค่เพียงทีมอินเฮาส์

และในฐานะที่เราเป็นเอเจนซี่ที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญบน Facebook ที่ได้ร่วมงานกับพาร์ทเนอร์กว่า 100 รายทั่วโลก เราจึงได้นำข้อมูลเชิงลึกซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมอินเฮาส์ไม่มี มาเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนกลยุทธ์ให้กับแบรนด์ FTE เพื่อสร้างผลลัพธ์ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

No items found.

หัวข้อที่ 2

สิ่งที่ FTE ใช้ในการวัดผลความสำเร็จ

เพื่อทำให้แน่ใจว่าการทำงานร่วมกับทีมอินเฮาส์จะทำให้แบรนด์มีรายได้มากขึ้น เราจึงวัดความสำเร็จจากยอดการจองคอร์สเรียนที่จะต้องถูกจองให้เต็มทุกที่นั่งในครั้งถัด ๆ ไป โดยทีมงานของเราจะมีหน้าที่ดูแลแคมเปญการตลาดบน Facebook ทั้งหมด ในขณะที่ทีมอินเฮาส์มีหน้าที่ปิดการขายให้ได้มากที่สุด หากทำได้แปลว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่นั้นส่งผลดีต่อธุรกิจอย่างแท้จริง

วิธีนี้มีความเสี่ยงน้อยกว่า และถ้าหากเราประสบความสำเร็จแปลว่าแบรนด์จะมีรายได้ที่มากขึ้นแม้ว่าจะต้องหักค่าจ้างของเราออกก็ตาม ที่สำคัญไปกว่านั้นแบรนด์ยังได้ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดบน Facebook เข้ามารับผิดชอบงานด้านนี้โดยตรง แถมยังสนับสนุนให้ทีมอินเฮาส์มีเวลาไปโฟกัสกับงานภายใน หรือวางแผนทิศทางของบริษัทในอนาคตได้อีกด้วย

ถ้าหากเราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายตามที่ตกลงไว้ได้ ทีมผู้บริหารสามารถบอกยกเลิกการจ้างได้ทันที เนื่องจากเราใช้สัญญารายเดือนแทนสัญญา 6-12 เดือน ซึ่งทีมอินเฮาส์ก็ยังสามารถนำข้อมูลที่ได้เรียนรู้จากการทำงานร่วมกันไปพัฒนา หรือต่อยอดเพื่อสร้างรายได้ให้กับธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ผลตอบแทนจากค่าโฆษณาบน Facebook ที่เพิ่มขึ้นกว่า 67% ในเดือนแรก และจำนวนที่นั่งในคอร์สล่าสุดที่ถูกจองทั้งหมดเป็นผลงานการร่วมมือระหว่างทีมอินเฮาส์ และทีมการตลาดของเรา ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้ เราสามารถวิเคราะห์ออกเป็น 3 หัวข้อหลัก ๆ ดังต่อไปนี้:

No items found.

ประทับใจในการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของ Northstar ที่ไม่เหมือนใครเป็นอย่างมาก รวมไปถึงการอัปเดตผลลัพธ์รายวัน และการดำเนินงานที่อิงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากเอเจนซี่ก่อนหน้านี้ที่เราเคยร่วมงานที่ไม่สามารถนำเสนอข้อมูลที่เป็นเฉพาะตัวได้เท่ากับที่ Northstar

คุณวีรานันท์ พิพัฒวงศ์เกษม

ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร FTE

หัวข้อที่ 3

FTE ทำลายสถิติยอดขายเดิมได้อย่างไร

3.1 เปลี่ยนความคิด - มองหาเอเจนซี่ที่เหมาะกับความต้องการทางธุรกิจคุณ

ก่อนที่คุณจะปล่อยให้เอเจนซี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานภายในบริษัท คุณจะต้องมองหาเอเจนซี่ที่สามารถตอบสนองความต้องการของบริษัทได้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าพวกเขาต้องนำเสนอกลยุทธ์ หรือไอเดียที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานร่วมกัน เราคิดว่า คือ  "ความซื่อสัตย์"

กรณีของ FTE เป็นเคสที่พิเศษมาก ๆ เนื่องจากทีมการตลาดอินเฮาส์ของแบรนด์สามารถรับผิดชอบงานด้านการตลาดออนไลน์ได้เป็นอย่างดี แต่ทีมผู้บริหารต้องการผลลัพธ์ที่มากขึ้นกว่าเดิม จึงเป็นที่มาของการตัดสินใจมองหาพาร์ทเนอร์ให้เข้ามาช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ให้ดียิ่งขึ้น แม้ในกระบวนการทำงาน เราต้องยอมรับในข้อมูลที่แบรนด์อาจจะไม่ได้คาดหวัง แต่ท้ายที่สุดสิ่งที่สำคัญในการทำงานร่วมกัน คือการมีข้อเท็จจริง และข้อมูลที่เปิดเผยซึ่งกัน และกันอย่างตรงไป ตรงมา รวมไปถึงการมองความสำเร็จร่วมกันระหว่างทั้งสองทีม จะทำให้เราได้ผลลัพธ์ในการทำงานออกมาได้อย่างดีที่สุด

ตามหลักการแล้วเจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่รู้ดีว่าใครมีความจริงใจมากน้อยกว่ากัน แต่ท้ายที่สุดก็ต่างตกเป็นเหยื่อของผู้ดูแลโปรเจกต์ที่ทำให้คุณสบายใจไปได้แบบเดือนต่อเดือนเท่านั้น

ลองมาตอบคำถามกัน: คุณหมอแบบไหนที่คุณอยากกลับไปรักษาเวลาที่ป่วย หรือเลือกที่จะไปตรวจสุขภาพมากกว่ากัน?

คุณจะกลับไปหาคุณหมอที่ถามคำถามเดิมเป็นประจำ และเลือกจ่ายยาซ้ำ ๆ โดยที่ไม่มีการตรวจวินิจฉัยโรคเลยหรือไม่?

หรือคุณจะไปหาคุณหมอคนที่พูดกับคุณตามตรงว่าจะเสียชีวิตในอีก 20 ปีข้างหน้า หากคุณยังคงทำงาน 14 ชั่วโมง/วัน โดยที่ไม่พักผ่อน และเขาจะสอนคุณถึงการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อลดโอกาสการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร?

ถ้าเราอยากมีชีวิตยืนยาว เราต่างรู้ว่าหมอที่ห้าม หรือบอกให้เราไม่ทำในสิ่งที่เราอยากทำ คือ หมอที่กำลังช่วยดูแลรักษาสุขภาพของเราอยู่ ดังนั้นหมอที่ทำให้เราเพียงแค่สบายใจ ด้วยการทำอะไรแบบเดิม ๆ แล้วเราก็เข้าใจว่าเรากำลังสุขภาพดีอยู่ และไม่ต้องปรับปรุงพัฒนาอะไร ก็อาจจะไม่ใช่หมอที่จะช่วยให้เรามีชีวิตได้ยืนยาวที่สุด เพราะเราทุกคนล้วนแต่มีความสามารถที่จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อีก หรือมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้อีก หากเราไปหาหมอถูกคน

ซึ่งมันเป็นหลักการเดียวกันกับการมองหาเอเจนซี่ที่ใช่กับธุรกิจคุณจริง ๆ 

เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่มักคิดว่าการจ้างเอเจนซี่ก็เหมือนจ้างทีมเอาท์ซอร์สเพื่อให้เข้ามาช่วยงานบางอย่างที่ตัวเองไม่ถนัด และเอเจนซี่ส่วนมากก็มักจะปฏิบัติงานแบบนั้นมากกว่าการสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริง

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของกิจการ และเอเจนซี่ควรจะเป็นพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจมากกว่าการปัดให้เป็นความรับผิดชอบของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากทุกฝ่ายมีหน้าที่ในการช่วยผลักดันธุรกิจให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ และผู้บริหารก็มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเองอย่างชอบธรรมด้วยเช่นกัน

และสิ่งนี้จะนำเราไปสู่หัวข้อที่ 2 ด้านล่างนี้:


3.2 คุณเป็นเจ้าของข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเอง ไม่ใช่เอเจนซี่

ความซื่อสัตย์เป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก หลาย ๆ ครั้งเราพบว่าเอเจนซี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความโปร่งใสกับลูกค้ามากเท่าที่ควร ซึ่งโดยปกติแล้วเอเจนซี่จะปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาส่วนบุคคล เช่น กลยุทธ์ การสร้างแคมเปญ และข้อมูลการตลาดเชิงลึกอีกมากมาย เนื่องจากพวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ธุรกิจเอเจนซี่ของเขาประสบความสำเร็จ เจ้าของธุรกิจหลายรายจึงยอมตกเป็นเหยื่อในสถานการณ์แบบนี้ ทำให้หลายครั้งเจ้าของธุรกิจรู้สึกถูกเอาเปรียบจากการทำงานร่วมกับเอเจนซี่ 

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจตัดสินใจจ้างทีมการตลาดอินเฮาส์ เนื่องจากพวกเขาต้องการถือครองข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจด้วยตัวเอง 

ซึ่งตรงกับอุดมการณ์ของเราที่ต้องการสนับสนุนให้ธุรกิจประสบความสำเร็จในระยะยาวมากกว่าตอนที่ทำงานอยู่กับเราเท่านั้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมเราไม่เคยปกปิดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่เราได้จากการทำงานให้แก่พาร์เนอร์ของเราเลย

โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับทีม FTE ที่มีความจำเป็นจะต้องแชร์ข้อมูลที่สำคัญ หรือเกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงการใช้ข้อมูลที่เคยเกิดขึ้นจริงก่อนหน้านี้เพื่อนำมาวางแผนกลยุทธ์ให้ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นตามที่ทีมผู้บริหารต้องการ

เรานำผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะส่งผลดีหรือไม่ก็ตาม มาเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนกลยุทธ์ใหม่ ๆ นอกจากนี้เรายังให้สิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลทุกอย่างกับทีมงานของ FTE เพื่อความโปร่งใสในการตรวจสอบ และทำให้แน่ใจว่าทุกคนจะได้เรียนรู้ และพัฒนาไปพร้อมกันกับเรา

ทุกข้อมูลที่เกิดขึ้นจากการร่วมงานระหว่างคุณ และเอเจนซี่จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อปรับปรุง และเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์ให้ดีมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ถูกตรึงไว้เป็นตัวประกัน เพราะคุณเสียค่าบริการในการทำงานให้กับพวกเขาในทุกเดือน จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดหากคุณจะมีสิทธิ์รับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของตัวเองทุกประการ แม้ว่าข้อมูลเหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นโดยทีมงานเอเจนซี่ก็ตาม

ความสำเร็จของแบรนด์ FTE ในครั้งนี้ คือ การใช้ข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงมาเป็นส่วนหนึ่งในการวางแผนกลยุทธ์ โดยรายละเอียดหลังจากนี้จะเป็นวิธีการที่เรานำแนวความคิดทั้งหมดมาปรับใช้เพื่อทำให้ประสบความสำเร็จตามที่แบรนด์คาดหวังไว้:


3.3 ลดความซับซ้อนของแคมเปญเพื่อโฟกัสไปยังการเพิ่ม KPI เพียงตัวเดียว: จำนวนข้อความที่ได้

แผนการตลาดส่วนใหญ่มักไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากหลาย ๆ ธุรกิจไปโฟกัสไปที่ KPI หลายตัว ไม่ว่าจะเป็นยอดสั่งซื้อสินค้า คนเข้าเว็บไซต์ คอมเมนต์ คลิก ไลก์ แชร์เท่าไหร่? และจะยิ่งแย่ไปกว่านั้นหากธุรกิจคุณมีหลายฝ่ายคอยดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่ง KPI ที่ตัวเองรับผิดชอบ เราค่อนข้างมั่นใจว่าคุณอาจจะยังไม่ได้ลงทุนอย่างคุ้มค่าที่สุดกับการดำเนินการทางแคมเปญการตลาด 

FTE ต้องการกลยุทธ์ที่ทำให้มีคนจองเต็มในทุกคอร์ส ดังนั้นเราจึงปรับ KPI ของแคมเปญโฆษณาบน Facebook ให้โฟกัสไปยังการให้ได้มาซึ่งข้อความที่มีคุณภาพมากที่สุดในจำนวนที่มากที่สุดจากกลุ่มเป้าหมายที่เรากำหนดไว้ โดยมีทีมอินเฮาส์ที่คอยทำหน้าที่ปิดการขาย

ทำไมถึงไม่ใช่ยอดการจองโดยตรง?

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการช่วยพาร์ทเนอร์หลายแบรนด์ทั่วโลกพบว่า การปรับโฆษณาบนโซเชียลมีเดียที่กระตุ้นให้คนซื้อสินค้าทันทีอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป ซึ่งในประเทศไทยการกระตุ้นให้คนส่งข้อความมีโอกาสที่จะแปรเปลี่ยนมาเป็นยอดขายได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับ KPI อื่น ๆเนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่มักจะคุยกับตัวแทน หรือแอดมินก่อนการซื้อสินค้าจริง ทั้งนี้ข้อมูลที่เราเลือกมานำเสนอเราอ้างอิงจากข้อมูลจริงจากพาร์ทเนอร์ที่เคยร่วมงานมาก่อนหน้านี้ ซึ่งคุณสามารถอ่าน Case study เพิ่มเติมได้ที่ 1 2 และ 3.

กลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์ คือ เจ้าของธุรกิจขนาดกลางถึงขนาดย่อม ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่สืบทอดกิจการจากครอบครัว และผู้บริหารระดับสูงในประเทศไทย ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจจะเคยเห็นคอร์สโฆษณาต่าง ๆ มาแล้วอย่างมากมาย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงตัดสินใจวาง KPI เป็นจำนวนข้อความ เพราะพวกเขาต้องอยากรู้ว่าคอร์สเรียนของ FTE แตกต่าง หรือดีกว่าแบรนด์อื่น ๆ อย่างไร และนั่นจึงนำมาสู่การสนทนาที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเด็น ไม่ว่าจะเป็น คำถามเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้า/บริการ หรือโปรโมชันใหม่ ๆ ดังตัวอย่างที่ด้านล่าง: 


เราในฐานะเอเจนซี่ที่มีหน้าที่ทำให้เกิดข้อความที่มีคุณภาพจากกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด และจะต้องมีค่าใช้จ่ายต่อข้อความน้อยที่สุดเช่นเดียวกัน หรือสรุปง่าย ๆ ว่ายิ่งเรามีค่าใช้จ่ายต่อข้อความถูกลงเท่าไหร่ แบรนด์จะใช้งบในการลงทุนน้อยลงเท่านั้น และยังคงได้ข้อความที่มีคุณภาพที่สามารถแปรเปลี่ยนมาเป็นลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งหมดนี้อาจจะดูเป็นเรื่องที่ง่ายเกินไป แต่เราก็ได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีการทำงานในข้างต้นส่งผลดีทั้งต่อทีมอินเฮาส์ และทีมงานของเราเองด้วยเช่นกัน ซึ่งขั้นตอนต่อไปนี้เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ FTE  ประสบความสำเร็จ:

3.3.1 แบ่งกลยุทธ์การตลาดตามการรับรู้สินค้า/บริการของผู้ซื้อ

ความสามารถพิเศษของการทำการตลาดบน Facebook คือ เราสามารถแยกกลุ่มเป้าหมายที่เคยเห็น หรือมีส่วนร่วมกับแบรนด์ กับกลุ่มที่ไม่เคยออกจากกันได้ ซึ่งด้วยวิธีการนี้เราสามารถนำเสนอ โปรโมชันไปยังกลุ่มคนที่เคยมีส่วนร่วมกับแบรนด์เป็นอย่างดี เพราะมีแนวโน้มว่าคนเหล่านี้จะกลับมาซื้อสินค้าจากแบรนด์คุณอีกครั้ง ในทางกลับกันคนที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์อาจจะยังไม่รู้ว่าสินค้าที่คุณมีจะช่วยแก้ปัญหา หรือสร้างประโยชน์ให้กับพวกเขาอย่างไรบ้าง เนื่องจากมีแรงจูงใจในการซื้อต่ำ จึงทำให้ไม่สามารถสร้างยอดขายกับคนกลุ่มนี้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำโฆษณา ดังนั้นเราจึงทำการแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกเป็น 2 กลุ่มต่อไปนี้

  • กลุ่มคนที่ยังไม่เคยรู้จักแบรนด์ FTE หรือ Cold Audiences (และ)
  • กลุ่มคนที่รู้จักแบรนด์ FTE หรือ Re-targeting/Remarketing Audiences

สิ่งสำคัญในแผนกลยุทธ์ที่เราใช้ คือ การนำเสนอเนื้อหาเชิงให้ความรู้ ตลอดจนรายละเอียดของคอร์สธุรกิจต่าง ๆ เพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายตระหนัก และเข้าใจว่าทำไมถึงต้องตัดสินใจจองคอร์สเรียนธุรกิจของ FTE มากกว่าแบรนด์อื่น ๆ หากพวกเขาไม่ตัดสินใจซื้อในทันที เราจะกระตุ้นด้วยโปรโมชัน หรือข้อเสนอที่น่าดึงดูดใจ 

นี่คือตัวอย่างของโฆษณาสำหรับกลุ่มคนที่ยังไม่เคยรู้จักแบรนด์ Cold Audiences:


สำหรับโฆษณาในข้างต้น เรานำเสนอข้อมูลทุกอย่างที่จำเป็นจะต้องรู้ก่อนตัดสินใจจองที่นั่ง และเนื่องจากคอร์สมีราคาค่อนข้างสูง (89,000 บาท/ท่าน) จึงมีความจำเป็นที่เราจะต้องนำเสนอว่าพวกเขาจะได้พบกับผู้บรรยายท่านใดบ้าง ดังนั้นโฆษณาด้านบนจึงโฟกัสไปที่การพูดคุยแบบ 1 ต่อ 1 กับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่กำลังจะเสียไป

โดยทั่วไปแล้วโฆษณาแบบ Cold จะถูกออกแบบมาให้พูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่เคยรู้จักแบรนด์ของคุณมาก่อน ในทางกลับกันโฆษณาแบบ Remarketing จะถูกออกแบบมาเพื่อพูดคุยกับคนที่รู้จักแบรนด์มาก่อนหน้านี้แล้ว และอยู่ในขั้นของการโน้มน้าวเพื่อให้เกิดการตัดสินใจซื้อในทันที ดังนั้นพวกส่วนลด รีวิว หรือตัวเลขความพึงพอใจจากลูกค้าจริงจะช่วยกระตุ้นทำให้โฆษณาแบบนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างโฆษณาของ FTE ที่ด้านล่างนี้:


จากตัวอย่างโฆษณาในข้างต้นทั้ง 2 แบบ คุณจะเห็นความแตกต่างประมาณ 1-2 จุด ระหว่าง Remarketing และ Cold เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน

อย่างแรก คือ โฆษณาแบบ Remarketing จะเน้นการใช้รีวิวจากลูกค้าจริงมากระตุ้นกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อให้ซื้อในทันที ดังข้อความในโฆษณาที่ระบุว่า “โอกาสสุดท้ายในปีนี้ สมัครด่วน” ที่เป็นนัยยะว่าหากกลุ่มเป้าหมายไม่สมัครวันนี้อาจจะต้องรออีกทีปีหน้า เป็นต้น

และเช่นเดียวกับบางโฆษณาที่ถูกสร้างจากทีมอินเฮาส์ที่สามารถสร้างผลลัพธ์ไว้ได้ดีอยู่แล้ว เรานำโฆษณาเหล่านั้นมาปรับเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น จากที่ดีอยู่แล้วก็ยิ่งทำให้ดีมากยิ่งขึ้นไปอีก

สรุป: การแบ่งกลุ่มเป้าหมายให้อยู่ในกลุ่มของ Cold และ Remarketing จะทำให้คุณสร้างโฆษณาที่ตรงกับประสบการณ์รับรู้สินค้า/บริการของพวกเขาที่มีต่อแบรนด์คุณได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งนั้นจะนำมาสู่ยอดขายที่มากที่สุดในช่วงระยะเวลาหนึ่งตามที่คุณต้องการได้

และแล้วก็มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่จะยืนยันว่าขั้นตอนการทำงานทุกอย่างที่ทำร่วมกับทีมอินเฮาส์นั้นส่งผลดีต่อธุรกิจจริงหรือไม่: 

3.3.2 การบันทึกทุกอย่างลงไปในชีท KPIs

คุณไม่สามารถวัดผลการทำงานได้หากไม่มีบันทึกข้อมูลการทำงานที่ผ่านมา

นั่นเป็นเหตุผลที่เราตกลงกับทีมงาน FTE สำหรับการกรอกข้อมูลที่สำคัญในชีททุก ๆ วัน

เราในฐานะเอเจนซี่จะกรอกงบประมาณที่ใช้ในการทำโฆษณา และจำนวนข้อความที่ได้รับรายวัน และทีมอินเฮาส์จะมีหน้าที่กรอกจำนวนออเดอร์ที่มีการซื้อจริง และรายได้ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเช่นเดียวกัน

วิธีนี้ทำให้เรารู้ว่าความพยายามของเราทั้งหมดนั้นสูญเปล่าหรือไม่ ถ้าแบรนด์มียอดขายที่มากขึ้น แปลว่าเรากำลังทำงานถูกจุด และกลยุทธ์ที่เราวางไว้เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์อย่างแท้จริง

แต่ถ้าไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ได้ เราจะลองปรับแผนกลยุทธ์ในรูปแบบอื่นโดยอิงจากข้อมูลที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เท่านั้น โดยจะไม่กล่าวอ้างในสิ่งที่ใดสิ่งหนึ่งอย่างไม่มีที่มาที่ไป

และสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของธุรกิจมากที่สุด คือ เขาสามารถเห็นทุกสิ่งที่เราทำได้อย่างโปร่งใส ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ทันทีว่าเราสามารถทำงานได้ตามเป้า หรือไม่เป็นไปตามแผนในจุดใดบ้าง

ซึ่งวิธีการด้านบนนี้เป็นสิ่งที่เราใช้วัดผลการทำงานทั้งหมด และต่อไปนี้ คือ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงที่เราช่วยให้ FTE ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

No items found.

หัวข้อที่ 4

ผลลัพธ์

ข้อมูลดังต่อไปนี้ คือ การเปรียบเทียบผลตอบแทนค่าโฆษณาที่เกิดขึ้นระหว่างทีมอินเฮาส์ที่เคยทำไว้ในปีที่แล้ว และของเราในปีนี้:


จากกราฟด้านบนคุณจะเห็นว่าแคมเปญการตลาดของเราสามารถเพิ่ม ROAS ได้มากกว่าในงบประมาณที่น้อยกว่า ถึงแม้ว่ารายได้รวมจะน้อยกว่าทีมอินเฮาส์ (รายได้จากการจองคอร์สในปีที่แล้วอยู่ที่ 3 ล้านบาท และในปีนี้อยู่ที่ 2.7 ล้านบาท) แต่เมื่อมาพิจารณาถึงงบลงทุนก็จะพบว่าแบรนด์ใช้เงินในจำนวนที่น้อยลง แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้นกว่าเดิม

แน่นอนว่าตัวเลขเหล่านี้ย่อมเป็นสัญญาณที่ดีที่บอกว่า FTE กำลังจะเติบโต และมีรายได้มากยิ่งขึ้นตามความต้องการของทีมผู้บริหาร แต่สำหรับเราสิ่งที่สำคัญมากกว่าเงิน นั่นคือ เวลา

แคมเปญการตลาดของเราช่วยให้ผู้บริหาร และทีมอินเฮาส์มีเวลาโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่า เช่น การวางแผนทิศทางของบริษัท หรือแผนรองรับการเติบโต ที่จะเป็นประโยชน์ และสนับสนุนให้ FTE  เติบโตอย่างได้ยั่งยืนอย่างแท้จริง

No items found.

ตอนนี้เรามีพาร์ทเนอร์ที่คอยช่วยเหลือในด้านการสร้างแคมเปญโฆษณา เนื้อหาโฆษณา และการบริหารเงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ยังทำให้แบรนด์มีผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

คุณวีรานันท์ พิพัฒวงศ์เกษม

ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร FTE

หัวข้อที่ 5

คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้อย่างไร?

1. ทีมการตลาดอินเฮาส์ และเอเจนซี่ออนไลน์ควรที่จะต้องทำงานร่วมกัน

อย่าตัดโอกาสทางธุรกิจแค่เพียงเพราะต้องมานั่งเลือกว่าระหว่างทีมอินเฮาส์ หรือเอเจนซี่การตลาดออนไลน์จะทำงานได้ดีกว่ากัน ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาสามารถร่วมงานกันเพื่อสนับสนุนให้เกิดผลลัพธ์ตามที่แบรนด์คาดหวังไว้ได้


2. ความชะล่าใจจะทำให้ธุรกิจคุณถอยหลัง

หากคุณต้องการให้ธุรกิจของตัวเองประสบความสำเร็จมากกว่าคู่แข่ง แปลว่าคุณจะต้องทำสิ่งที่มากกว่าเจ้าของธุรกิจรายอื่น ๆ ทำ ยิ่งคุณทำมากกว่าคนอื่นเท่าไหร่ คุณก็จะเข้าใกล้ความสำเร็จมากยิ่งขึ้นเท่านั้น แต่สิ่งที่ทำจะต้องเป็นสิ่งที่ใช่สำหรับธุรกิจอย่างแท้จริง ซึ่งเจ้าของธุรกิจหลายรายที่ต้องปิดกิจการลงต่างมารู้ตัวในวันที่สายว่าสิ่งที่ทำอยู่ไม่สามารถส่งผลในเชิงบวกต่อธุรกิจ หรือไม่พยายามผลักดันให้ธุรกิจเติบโตมากกว่าที่เคยเพราะคิดว่าเท่าที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้ว

No items found.

หัวข้อที่ 6

No items found.

หัวข้อที่ 7

No items found.

หัวข้อที่ 8

No items found.

อยากรู้หรือไม่ว่าธุรกิจของคุณสามารถเพิ่มยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์ได้เท่าไหร่?